Trang chủ / Q&A / Pressing คืออะไร? เข้าใจแท็กติกไล่บีบตัวต่อตัวที่เปลี่ยนเกมได้ในพริบตา

Pressing คืออะไร? เข้าใจแท็กติกไล่บีบตัวต่อตัวที่เปลี่ยนเกมได้ในพริบตา

Xuất bản: 02/05/2025 - Tác giả: admin

ฟุตบอลในยุคใหม่ไม่ใช่แค่การครองบอลหรือรุกแบบรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จมากมาย นั่นคือ Pressing หรือ การไล่บีบ เมื่อพูดถึงทีมอย่าง Liverpool, Manchester City หรือ Barcelona ภาพของนักเตะที่วิ่งไล่กดดันคู่แข่งทันทีหลังเสียบอลจะลอยขึ้นมาในหัวทันที

แต่แท้จริงแล้ว Pressing คืออะไร? ทำไมทีมระดับโลกจึงให้ความสำคัญกับแท็กติกนี้? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก pressing อย่างละเอียด ทั้งความหมาย ประเภท เทคนิค และตัวอย่างจากทีมระดับท็อป

Pressing คืออะไร?

Pressing คืออะไร?

Pressing (เพรสซิ่ง) คือ กลยุทธ์ในเกมฟุตบอลที่ผู้เล่นจะรีบเข้าไปกดดันคู่ต่อสู้ทันทีหลังเสียการครองบอล โดยมีจุดประสงค์เพื่อ:

  • แย่งบอลคืนมาให้เร็วที่สุด
  • ป้องกันไม่ให้คู่แข่งตั้งเกมรุก
  • บีบพื้นที่ให้คู่แข่งเล่นยาก
  • สร้างโอกาสทำประตูจากการตัดบอลได้ในแดนบน

กล่าวง่าย ๆ คือ “การไล่บีบอย่างเป็นระบบ เพื่อควบคุมเกมแม้จะไม่มีบอลอยู่กับตัว”

ประเภทของ Pressing

ประเภทของ Pressing

Pressing ไม่ใช่แค่ไล่บีบมั่ว ๆ แต่มีรูปแบบที่ชัดเจนและใช้ตามสถานการณ์:

High Press (การบีบสูง)

  • ไล่บีบตั้งแต่แดนบน
  • บีบแนวรับคู่แข่งไม่ให้ตั้งเกมได้
  • เสี่ยงแต่สร้างโอกาสได้เร็ว

ทีมที่ใช้บ่อย: Liverpool, Bayern Munich

Mid Press (บีบกลางสนาม)

  • ปล่อยให้คู่แข่งเล่นในแดนตัวเอง
  • เริ่มบีบเมื่อบอลเข้ากลางสนาม
  • สมดุลระหว่างรุกกับรับ

ทีมที่ใช้บ่อย: Manchester United (บางยุค)

Low Press (บีบต่ำ)

  • ถอยลงมารับลึก
  • บีบแน่นในเขตแดนตัวเอง
  • เหมาะกับทีมที่เน้นสวนกลับ

ทีมที่ใช้บ่อย: Atlético Madrid

ทำไม Pressing ถึงสำคัญในฟุตบอลยุคใหม่?

ทำไม Pressing ถึงสำคัญในฟุตบอลยุคใหม่?

  • ควบคุมเกมแม้ไม่มีบอล: ทีมที่ pressing ดี สามารถกดดันจนคู่แข่งเล่นผิดพลาด
  • สร้างโอกาสยิงทันที: เมื่อแย่งบอลได้จากพื้นที่อันตราย
  • ป้องกันการตั้งเกมเร็ว: ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
  • แสดงความฟิตและวินัยของทีม: ต้องการความพร้อมทั้งร่างกายและแท็กติก

Bid Offer คืออะไร? เข้าใจราคาซื้อขายให้แม่นก่อนลงทุนจริง

Outfit คืออะไร? เข้าใจคำนี้ให้ลึก แล้วแต่งตัวให้ดูดีในทุกวัน

ข้อดีของ Pressing

  • ได้บอลคืนเร็วขึ้น
  • กดดันคู่แข่งให้เล่นผิดพลาด
  • ควบคุมเกมแม้ไม่มีบอล
  • สร้างสไตล์การเล่นที่ดุดัน

ข้อเสียของ Pressing (ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี)

  • ใช้พลังงานมาก ทำให้เหนื่อยไว
  • หากไล่บีบไม่พร้อมกัน เสียรูปเกมทันที
  • เสี่ยงโดนสวนกลับเร็ว
  • ต้องมีวินัยสูงในการยืนตำแหน่ง

ตัวอย่างทีมที่ใช้ Pressing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Liverpool (ยุค Jurgen Klopp)

  • ใช้ Gegenpressing หรือการบีบทันทีหลังเสียบอล
  • แย่งบอลคืนในไม่กี่วินาที

Manchester City (ยุค Pep Guardiola)

  • ใช้ pressing แบบซับซ้อน
  • บีบคู่แข่งแม้ในพื้นที่แคบ

Barcelona (ยุค Guardiola)

  • ใช้ Tiki-Taka + Pressing
  • คอนโทรลทั้งบอลและเกมแม้ไม่มีบอล

Pressing ต้องการอะไร?

  1. ความฟิตของนักเตะ: ต้องวิ่งไล่และเปลี่ยนตำแหน่งเร็ว
  2. ความเข้าใจแท็กติก: ต้องไล่บีบพร้อมกัน ไม่ใช่คนเดียววิ่ง
  3. ทีมเวิร์กที่แม่นยำ: ตำแหน่งต้องแน่น กล้าเล่นเสี่ยงแต่มีระบบ
  4. การอ่านเกมที่ดี: รู้ว่าเมื่อไหร่ควรบีบ และเมื่อไหร่ควรถอย

Pressing กับฟุตบอลระดับสมัครเล่น

แม้จะดูเหมือนกลยุทธ์ระดับโปร แต่ Pressing ก็สามารถนำมาใช้ในการฝึกซ้อมของทีมสมัครเล่นได้ เช่น:

  • ฝึก pressing แบบกลุ่มเล็ก 3v3 หรือ 5v5
  • ใช้ cone หรือโซนกำหนดพื้นที่การบีบ
  • ฝึกจังหวะ pressing กับแนวรับเพื่อไม่โดนสวนกลับ

จุดสำคัญคือ “ต้องให้ทุกคนในทีมเข้าใจหน้าที่ของตัวเองในการ pressing”

Pressing vs Gegenpressing ต่างกันอย่างไร?

กลยุทธ์ ความหมาย ลักษณะเด่น
Pressing ไล่บีบทั่วไปเพื่อแย่งบอล ใช้ได้ตลอดเกม
Gegenpressing ไล่บีบทันทีหลังเสียบอล แย่งคืนเร็วที่สุดใน 5 วินาที

Gegenpressing คือรูปแบบย่อยของ pressing ที่เน้นความเร็วและรุนแรงทันทีหลังเสียบอล

สรุป

เมื่อเข้าใจว่า Pressing คืออะไร เราจะเห็นว่าแท็กติกนี้ไม่ใช่แค่การไล่บอลธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่เปลี่ยนเกมฟุตบอลให้ดุดัน เร็ว และเต็มไปด้วยพลังงาน

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเตะ โค้ช หรือนักวิเคราะห์เกม การเข้าใจ pressing จะช่วยให้คุณอ่านเกมได้เฉียบคมขึ้น และอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการพลิกผลการแข่งขัน

เพราะในโลกฟุตบอลยุคใหม่ การครองเกมไม่ได้หมายถึงมีบอล แต่หมายถึงการ “ควบคุมพื้นที่และจังหวะเกม” ได้ทั้งหมด — และ Pressing คือกุญแจของสิ่งนั้น

Bài viết liên quan